ก่อนปี พ.ศ. 2495 ชีวิตความเป็นอยู่และการศึกษาของคนพิการทางหู ล้วนขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและสถานะทางครอบครัวเป็นสำคัญ คนพิการทางหูยังไม่ได้รับการดูแลให้การศึกษาโดยเฉพาะ ดังนั้นจึงมีชีวิตอยู่ในสังคมที่ไม่อาจสื่อความเข้าใจกันได้อย่างชัดเจน ทำให้เกิดอุปสรรคนานับประการ จนกระทั่งกระทรวงศึกษาธิการได้เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาคนพิการทางหูให้มีสิทธิ ได้รับการศึกษาเท่าเทียมกับคนทั่วไป
ดังนั้น จึงได้มีหนังสือเชิญชวนผู้ทรงคุณวุฒิมาร่วมก่อตั้งมูลนิธิอนุเคราะห์คนหูหนวก ในพระบรมราชินูปถัมภ์ ดังใจความในหนังสือของกระทรวงศึกษาธิการที่ 171/2495 ลงวันที่ 1 สิงหาคม 2495 กล่าวว่า
“กระทรวงศึกษาธิการได้พิจารณาเห็นว่า คนใบ้หรืออีกนัยหนึ่งคนหูหนวกนั้น ถ้าได้รับการสอนด้วยวิธีพิเศษแล้ว ก็สามารถได้รับการศึกษาและกลับเป็นพลเมืองดี มีประโยชน์แก่ประเทศชาติได้ เช่นเดียวกับเพื่อนมนุษย์ทั้งหลาย จึงได้เปิดหน่วยสอนคนหูหนวกขึ้นที่ โรงเรียนเทศบาล 17 (วัดโสมนัส) เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 2494 เป็นการฉลองวันที่ระลึกว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติ พร้มกันปรากฏว่า การอนุเคราะห์บุคคลพิการประเภทนี้เป็นการสาธารณกุศลอันเป็นที่สนใจของประชาชนทั่วไปด้วย มีผู้บริจาคที่ดินเพื่อให้กระทรวงศึกษาธิการจัดตั้งโรงเรียนสอนคน หูหนวก มีผู้บริจาคทรัพย์บำรุงกิจการของหน่วยนี้เรื่อย ๆ มา กระทรวงศึกษาธิการจึงดำริว่า สมควรจะก่อตั้งองค์การสงเคราะห์คนหูหนวกขึ้นเป็นนิติบุคคล เป็นเอกเทศจากทางราชการ เพื่อจะได้สามารถเรียกร้องความร่วมมือร่วมใจจากประชาชนมากขึ้น เป็นการส่งเสริมให้ ประชาชนชาวไทยสนใจในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้ได้รับการศึกษา และเพื่อจะเป็นทางหารายได้มาบำรุงกิจการในด้านนี้ เป็นการช่วยเงินงบประมาณแผ่นดินด้วยอีกทางหนึ่ง องค์การนี้จะให้ชื่อว่า มูลนิธิอนุเคราะห์คนหูหนวก”
หน่วยสอนคนหูหนวกดังกล่าวข้างต้นนั้น ได้อาศัยห้องเรียนห้องหนึ่งของโรงเรียนเทศบาล 17 (วัดโสมนัสวิหาร) ได้เปิดขึ้นในวันฉลองปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน เมื่อแรกเปิดเรียน มีนักเรียนทั้งหมด 12 คน ปีต่อมามีนักเรียน 49 คน มาเรียน 2 ผลัด เช้าและบ่าย ม.ร.ว.หญิง เสริมศรี เกษมศรี ผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโททางการสอนคนหูหนวกจากสหรัฐอเมริกา เป็นหัวหน้าหน่วยสอนคนหูหนวก และมีครูผู้ช่วย 2 คน
เนื่องจากมีเด็กหูหนวกมาสมัครเรียนเพิ่มขึ้น จึงจำเป็นต้องมีสถานที่เรียนของตนเองเป็นเอกเทศและเป็นการถาวร ม.ร.ว.หญิง เสริมศรี จึงได้ติดต่อขอบริจาคสถานที่จากผู้มีจิตศรัทธาในการสงเคราะห์เด็กหูหนวก และคุณหญิงโต๊ะ นรเนติบัญชากิจ ได้มีจิตศรัทธายกที่ดิน เนื้อที่ 5 ไร่ 1 งาน กับตึกที่อาศัย ( ราคาขณะนั้น 2,500,000 บาท ) ณ บ้านเลขที่ 137 ถนนพระราม 5 ตำบลนครไชยศรี อำเภอดุสิต ให้กระทรวงศึกษาธิการจัดตั้งโรงเรียนสอนคนหูหนวก โดยกำหนดให้ทรัพย์สินดังกล่าว เป็นนิติบุคคล ชื่อว่า “มูลนิธิเศรษฐเสถียร” เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งตระกูล “เศรษฐบุตร” ซึ่งเป็นนามสกุลของพระยานรเนติบัญชากิจ และตระกูล “โชติกเสถียร” อันเป็นนามสกุลเดิมของคุณหญิงโต๊ะเอง มูลนิธิเศรษฐเสถียรมีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการจัดสร้างโรงเรียนสอนคนหูหนวก และหาผลประโยชน์บำรุงโรงเรียนนี้จากความมุ่งหมายดังกล่าวของกระทรวงศึกษาธิการดังปรากฎในหนังสือ ลงวันที่ 1 สิงหาคม 2495 จึงได้เชิญชวนผู้ทรงคุณวุฒิให้ร่วมก่อตั้ง มูลนิธิอนุเคราะห์คนหูหนวก ท่านผู้หญิงละเอียด พิบูลสงคราม ได้กรุณารับเป็นประธานมูลนิธิฯ และ ฯพณฯ จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้อุทิศเงินในการทำบุญคล้ายวันเกิดจำนวน 50,000 บาท ( ห้าหมื่นบาทถ้วน ) เป็นทุนก่อตั้งมูลนิธิฯ
มูลนิธิอนุเคราะห์คนหูหนวก ได้รับอนุญาตให้จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2495 ได้หมายเลขทะเบียนที่ 112 สำนักงานของมูลนิธิตั้งอยู่ ณ บ้านเลขที่ 137 ถนนพระราม 5 ตำบลถนนนคร-ไชยศรี อำเภอดุสิต คือที่โรงเรียนสอนคนหูหนวก โดยคณะกรรมการมีความเห็นว่า
“เห็นสมควรจะให้โรงเรียนสอนคนหูหนวก เป็นแหล่งรวมกำลังขององค์การต่างๆ ที่จะดำเนินการสงเคราะห์แก่คนหูหนวกในประเทศไทยต่อไป จึงได้ขอให้ใช้สำนักงานแห่งเดียวกัน เพื่อความสะดวก ถนัด รวบรัด รวดเร็ว ในการดำเนินงานในอนาคต”
มูลนิธิฯ ได้ดำเนินงานตามวัตถุประสงค์อย่างต่อเนื่องมาจนกระทั่งปี พ.ศ. 2507 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯพระราชทานพระบรมราชินูปถัมภ์แก่มูลนิธิอนุเคราะห์คนหูหนวก เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2507 นับได้ว่าเป็น พระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อม หาที่เปรียบมิได้ ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา มูลนิธิฯ ก็ได้ชื่อว่า
“มูลนิธิอนุเคราะห์คนหูหนวก ในพระบรมราชินูปถัมภ์”